วันพุธที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2553

กิจกรรม

หน่วยการเรียนรู้ที่5
ซอฟต์แวร์

กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
1.บอกความหมายและประเภทของซอฟแวร์ได้
ตอบ โปรแกรม หรือชุดคำสั่งที่สั่งให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้อง

2.อธิบายภาษาคอมพิวเตอร์ได้
ตอบ ภาษาคอมพิวเตอร์ คือภาษที่ใช้ในการติดต่อกับคอมพิวเตอร์โดยถูกนำมาเขียนเป็นชุดคำสั่ง (Program) ให้เครื่องทำงานตามคำสั่งของภาษานั้น ในปัจจุบันภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้สำหรับเขียนโปรแกรมมีมากมายหลายภาษา ซึ่งแต่ละภาษาจะมีกฎเกณฑ์และวิธีการเขียนโปรแกรมแต่ต่างกัน ภาษาคอมพิวเตอร์แบ่งออกเป็น 2 ระดับ คือ
1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
2. ภาษาระดับสูง (High Level Language)

1. ภาษาระดับต่ำ (Low Level Language)
เป็นภาษาที่ใช้ในยุคแรก ๆ จะมีความยุ่งยากในการเขียนมากแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
1.1 ภาษาเครื่อง (Machine Language)
1.2 ภาษาแอสแซมบลี (Assembly Language)

1.1 ภาษาเครื่อง (Machine Language)
เป็นภาษาหรือคำสั่งที่ใช้ในการสั่งงานหรือติดต่อกับเครื่องโดยตรงลักษณะสำคัญ
ของภาษาเครื่องจะประกอบด้วยรหัสของเลขฐานสองซึ่งเทียบได้กับลักษณะของสัญญาณ ทางไฟฟ้าเข้ากับหลักการทำงานของเครื่องซึ่งเครื่องสามารถเข้าใจและพร้อมที่ จะทำงานตามคำสั่งได้ทันทีภาษาเครื่องจะมีกฏเกณฑ์ทางไวยากรณ์ค่อนข้างจำกัด โปรแกรมมีลักษณะค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน รหัสโครงสร้างของแต่ละคำสั่งของภาษาเครื่องจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
ก. รหัสบอกประเภทของคำสั่ง (Operation Code หรือ Op-Code) เป็นส่วนที่บอกคำสั่งให้เครื่องทำการประมวลผล เช่นให้ทำการบวก ลบ คูณ หาร หรือเปรียบเทียบ
ข. รหัสบอกตำแหน่งข้อมูล (Operand) เป็นส่วนที่บอกว่าข้อมูลที่จะนำมาประมวลผลนั้นเก็บอยู่ในตำแหน่ง (Address) ใดของหน่วยความจำ
ลักษณะของโปรแกรมจะประกอบด้วยกลุ่มของรหัสคำสั่ง ซึ่งประกอบด้วยเลข
ฐานสองเรียงต่อกัน ซึ่งผู้เขียนโปรแกรมจะต้องทราบถึงเทคนิคการใช้รหัสคำสั่งและจะต้องจำตำแหน่งของคำสั่งของข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ เพราะเนื่องจากเครื่องคอมพิวเตอร์แต่ละบริษัทจะใช้ภาษาเครื่องของตนเอง และผู้เขียนโปรแกรมจะต้องเข้าใจระบบการทำงานของเครื่องเป็นอย่างดี ดังนั้นการเขียนโปรแกรมเป็นภาษาเครื่องจึงมีผู้เขียนอยู่ในวงจำกัด เพราะต้องมีความรู้ทางด้านเครื่องและรหัสของเครื่องด้วยจึงจะเขียนโปรแกรมได้ ภาษาเครื่องของคอมพิวเตอร์แต่ละระบบจะแตกต่างกัน ทำให้เกิดความไม่สะดวกเมื่อมีการเปลี่ยนเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบใหม่ก็จะต้องเขียนโปรแกรมใหม่
ข้อดี ของภาษาเครื่อง
1. เมื่อคำสั่งเข้าสู่เครื่องจะสามารถทำงานได้ทันที
2. สามารถสร้างคำสั่งใหม่ ๆ ได้ โดยที่ภาษาอื่นทำไม่ได้
3. ต้องการหน่วยความจำเพียงเล็กน้อย
ข้อเสีย ของภาษาเครื่อง
1. ต้องเขียนโปรแกรมคำสั่งยาวทำให้ผิดพลาดได้ง่าย
2. ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องรู้ระบบการทำงานของเครื่องเป็นอย่างดีจึงสามารถเขียนโปรแกรมได้ และถ้าเครื่องที่มีฮาร์ดแวร์ต่างกัน จะใช้โปรแกรมร่วมกันได้

1.2 ภาษาแอสแซมบลี (Assembly Language)
จัดเป็นภาษาสัญลักษณ์ (Symbolic Language) เป็นภาษาที่พัฒนามาจาก
ภาษาเครื่องโดยใช้สัญลักษณ์ข้อความแทนกลุ่มของเลขฐานสอง ทำให้การเขียนโปรแกรมสะดวกขึ้นแต่ผู้เขียนโปรแกรมยังคงต้องจำความหมายสัญลักษณ์ที่ใช้แทนคำสั่งต่าง ๆ การเขียนโปรแกรมภาษาแอสแซมบลี มีลักษณะที่ต้องขึ้นอยู่กับเครื่องเราไม่สามารถนำโปรแกรมภาษาแอสแซมบลีไปใช้กับเครื่องต่างชนิดกันได้ ดังนั้น ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องเข้าใจระบบการทำงานของเครื่องเป็นอย่างดี การเขียนโปรแกรมด้วยภาษานี้ วิธีการก็คล้ายกับการเขียนโปรแกรมภาษาเครื่องแต่อย่างไรก็ตามคอมพิวเตอร์จะรู้จักแต่เฉพาะภาษาเครื่องเท่านั้น ดังนั้นจึงต้องมีการแปลภาษาแอสแซมบลีให้เป็นภาษาเครื่องเสียก่อน เครื่องจึงจะสามารถทำงานตามโปรแกรมคำสั่งได้โปรแกรมที่ทำหน้าที่แปลภาษานี้เรียกว่าแอสแซมเบลอร์ (Assembler)

ข้อดี ของภาษาแอสแซมบลี
- การเขียนโปรแกรมเขียนง่ายกว่าภาษาเครื่อง

ข้อเสีย ของภาษาแอสแซมบลี
- ขั้นตอนการเขียนโปรแกรมมีลักษณะคล้ายภาษาเครื่องทำให้โปรแกรมคำสั่งต้องเขียนยาวเช่นเดิม
2. ภาษาระดับสูง (High Level Language)
เป็นภาษาคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการพัฒนา ให้สามารถใช้ได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น การเขียน
ภาษาไม่ขึ้นกับฮาร์ดแวร์หรือลักษณะการทำงานภายในของเครื่อง ผู้เขียนโปรแกรมไม่จำเป็นต้องเข้าใจระบบการทำงานภายในเครื่องมากนัก เพียงแต่เข้าใจกฎเกณฑ์ในกาเขียนแต่ละภาษาให้ดี ซึ่งลักษณะคำสั่งจะคล้ายกับภาษาอังกฤษ ดังนั้นภาษาระดับสูงจึงเป็นที่นิยมใช้กันแพร่หลายในปัจจุบัน
แต่อย่างไรก็ตามภาษาระดับสูงเครื่องจะยังไม่เข้าใจ จึงต้องมีการแปลให้เป็นภาษาเครื่องเสียก่อน โปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ อินเทอพรีทเตอร์ (Interpreter) และคอมไพเลอร์ (Compiler)

2.1 อินเทอพรีทเตอร์ (Interpreter)
เป็นโปรแกรมที่ใช้ในการแปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง การแปลจะแปลที
และคำสั่งและทำงานตามคำสั่งทันที แล้วจึงไปอ่านคำสั่งต่อไป ในกรณีที่โปรแกรมมีลักษณะการทำงานแบบวนซ้ำ (Loop) อินเทอพรีทเตอร์จะต้องแปลคำสั่งนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จึงทำให้การแปลแบบอินเทอพรีทเตอร์ทำงานซ้ำ อินเทคพรีทเตอร์จะไม่สร้างออฟเจ๊ทโปรแกรม (Object Program) ซึ่งเป็นโปรแกรมที่แปลเป็นภาษาเครื่องเก็บไว้ ฉะนั้นทุกครั้งที่สั่งให้โปรแกรมทำงานอินเทอพรีทเตอร์ก็จะเริ่มแปลใหม่ทุกครั้ง เครื่องจะเริ่มทำงานทันทีเมื่ออินเทอพรีทเตอร์แปลคำสั่งเสร็จและจะหยุดทำงานเมื่อดินเทอพรีทเตอร์พบข้อผิดพลาดในคำสั่งที่แปล และจะรายงานความผิดพลาดทันที ผู้เขียนโปรแกรมจะต้องแก้ไขโปรแกรมคำสั่งให้ถูกแล้วสั่งให้โปรแกรมเริ่มทำงานใหม่ อินเทอพรีทเตอร์ก็จะเริ่มแปลคำสั่งนั้นใหม่ภาษาที่ใช้อินเทคพรีทเตอร์แปล เช่น ภาษาBASICA และGWBASIC เป็นต้น
2.2 คอมไพเลอร์ (Compiler)
เป็นโปรแกรมที่ใช้แปลภาษาระดับสูงให้เป็นภาษาเครื่อง คอมไฟเลอร์จะทำการ
แปลทั้งโปรแกรม แล้วเก็บโปรแกรมที่แปลได้ในรูปของภาษาเครื่องเก็บไว้ในลักษณะของออฟเจ็ท โปรแกรม (Object Program) ถ้าโปรแกรมที่แปลไม่มีข้อผิดพลาดก็จะปฏิบัติงานตามคำสั่งนั้น ๆ ทันทีแต่ถ้าโปรแกรมมีข้อผิดพลาด คอมไพเลอร์ก็จะบอกข้อผิดพลาดทั้งหมดที่มีในโปรแกรมออกมาให้ทราบ และจะยอมให้ออฟเจ็ทโปรแกรมทำงานต่อเมื่อโปรแกรมได้รับการแก้ไขจนไม่มีข้อผิด พลาดแล้ว โปรแกรมที่ถูกแปลจะเก็บไว้เป็นออฟเจ็ทโปรแกรมในหน่วยความจำ จึงทำให้ต้องใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำมากกว่าอินเทอพรีทเตอร์ เพราะต้องเก็บตัวโปรแกรมภาษา (Source Program) ออฟเจ็ท โปรแกรม (Object Program) และคอมไฟเลอร์ (Program)
เมื่อแก้ไขข้อผิดพลาดแล้ว คอมไพเลอร์จะทำการแปลทั้งโปรแกรมใหม่เพื่อเก็บเป็นออฟเจ็ทโปรแกรมอีกครั้งหนึ่งในกรณีที่มีการทำงานแบบวนซ้ำ (Loop) เครื่องจะนำเอาออฟเจ็ทโปรแกรมที่แปลเก็บไว้ไปใช้ทำงาน โดยไม่ต้องมีการแปลซ้ำอีก ทำให้การทำงานเร็วกว่าการแปลแบบอินเทอพรีทเตอร์ ภาษาที่ใช้คอมไพเลอร์แปล ได้แก่ ภาษา C, COBOL, FORTRAN,PL/1, TURBO BASIC,PASCAL เป็นต้น

3.อธิบายรูปแบบของตัวแปลภาษาได้
ตอบ คอมพิวเตอร์จะทำงานตามชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่เป็นภาษาเครื่อง แต่ภาษาเครื่องเข้าใจและจดจำได้ยาก จึงมีการพัฒนาภาษาคอมพิวเตอร์ในรูปแบบที่เป็นตัวอักษร เป็นประโยคข้อความ ที่จะทำให้เข้าใจง่าย ที่เรียกว่า ภาษาคอมพิวเตอร์ระดับสูง
ภาษาคอมพิวเตอร์ที่เป็นภาษาระดับสูง ที่นำมาใช้พัฒนาซอฟต์แวร์นั้นที่เป็นที่รู้จักและนิยมใช้ในการเขียนโปรแกรมต่างๆ เช่น ภาษาปาสคาล ภาษาเบสิก ภาษาซี ภาษาโลโก และภาษาจาวา เป็นต้น
แต่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจคำสั่งภาษาเครื่องเท่านั้น ไม่สามารถเข้าใจภาษาดังกล่าว ดังนั้นโปรแกรมที่เขียนด้วยภาษาระดับสูง จะต้องมีตัวแปลภาษา ซึ่งตัวแปลภาษามีหลายประเภท ตัวแปลภาษาที่แปลจากภาษาระดับสูงไปเป็นภาษาเครื่อง เรียกว่า คอมไพเลอร์ (compiler) และตัวแปลที่แปลจากภาษาระดับสูงไปเป็นภาษาเครื่องทีละคำสั่ง แล้วคอมพิวเตอร์ก็กระทำการตามภาษาเครื่องนั้นแล้วย้อนกับมาแปลคำสั่งต่อไปอีกเป็นลำดับไป เรียกว่า อินเทอร์พรีเตอร์ (interpreter)

ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ควรรู้จัก

ภาษาเบสิค (BASIC Language) สามารถเขียนโปรแกรมได้ง่ายและรวดเร็วกว่าภาษาอื่น เหมาะกับงานธุรกิจขนาดเล็ก และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มศึกษาการเขียนโปรแกรม ลักษณะการทำงานของภาษาเบสิคระหว่างที่มีการเขียนโปรแกรม และรันโปรแกรม สามารถตรวจสอบการทำงานได้ตลอดเวลา ทำให้ผู้เขียนโปรแกรมสามารถพิมพ์โปรแกรมเข้าเครื่อง และแก้ไขข้อผิดพลาดได้ทันที เมื่อพบข้อผิดพลาด เป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้และสามารถใช้งานได้บนเครื่องทุกระดับ
ภาษาวิชวลเบสิก (Visual Basic Language) เป็นภาษาที่นำโครงสร้างของภาษาเบสิกมาใช้ โดยเพิ่มส่วนการเขียนโปรแกรมเป็นลักษณะ การเขียนโปรแกรมแบบ Visual ซึ่งหมายถึง การเขียนโปรแกรมด้วยภาพ หรือ การเขียนโปรแกรมด้วยสิ่งที่เรามองเห็น ที่เรียกกันว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ
ภาษาปาสคาล (Pascal Language) ภาษาปาสคาลเป็นภาษาที่มีโครงสร้างที่เหมาะสำหรับการเขียนโปรแกรมแบบโครงสร้าง สามารถเขียนโปรแกรมแบ่งเป็นโปรแกรมย่อยได้อย่างง่าย ทำให้การพัฒนาและแก้ไข ทำได้อย่างรวดเร็ว เหมาะกับผู้เริ่มต้นเขียนโปรแกรม
ภาษาภาษาเดลไฟล์ (Delphi) เป็นภาษาที่นำโครงสร้างของภาษา Pascal มาใช้ โดยเพิ่มส่วนการเขียนโปรแกรมเป็นลักษณะ การเขียนโปรแกรมแบบ Visual ซึ่งหมายถึง การเขียนโปรแกรมด้วยภาพ หรือการเขียนโปรแกรมด้วยสิ่งที่เรามองเห็น ที่เรียกกันว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ
ภาษาซี (C Language) ภาษาซี เป็นภาษาที่นิยมใช้ในการเขียนโปรแกรมมาก เป็นภาษาระดับสูงที่มีประสิทธิภาพในการทำงานได้เร็วมากเมื่อเทียบกับภาษาอื่นๆ สามารถใช้ในงานด้านต่าง ๆ มากมาย สามารถสร้างงานกราฟิก สามารถทำงานได้บนเครื่องคอมพิวเตอร์ต่างประเภท โดยมีการคอมไพล์ใหม่ แต่ไม่ต้องแก้ไขโปรแกรมอย่างใด
ภาษาวิชวลซี(Visual C) เป็นภาษาที่นำโครงสร้างของภาษา C มาใช้ โดยเพิ่มส่วนการเขียนโปรแกรมเป็นลักษณะ การเขียนโปรแกรมแบบ Visual ซึ่งหมายถึง การเขียนโปรแกรมด้วยภาพ หรือการเขียนโปรแกรมด้วยสิ่งที่เรามองเห็น ที่เรียกกันว่าการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ
ภาษาจาวา (Java Language) เป็นภาษาที่มีโครงสร้างของภาษาคล้าย C++ ลักษณะเด่น คือ เป็นภาษาที่สามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน นำไปใช้ในการพัฒนาโปรแกรมประยุกต์ทั่วไป และกำลังได้รับความนิยมมาก
ภาษา HTML (Hypertext Markup Language) เป็นภาษาที่มีกฎเกณฑ์และโครงสร้างเฉพาะตัว แต่จะไม่เข้มงวดเหมือนกับ กฎเกณฑ์ของภาษาเบสิค หรือภาษาซี ภาษา HTML ใช้สำหรับเขียนเว็บเพ็จบนอินเตอร์เน็ต โดยสามารถเขียนเชื่อมโยงกับเอกสารในรูปของข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือเสียงก็ได้
ภาษา PHP เป็นภาษาที่คำสั่งต่างๆจะเก็บอยู่ในไฟล์ที่เรียกว่าสคริปต์ (script) และเวลาใช้งานต้องอาศัยตัวแปลชุดคำสั่ง ลักษณะของภาษา PHP คือพัฒนาและออกแบบมา เพื่อใช้งานในการสร้างเอกสารแบบ HTML โดยสามารถ สอดแทรกหรือแก้ไขเนื้อหาได้โดยอัตโนมัติและมีความสามารถในการจัดการฐานข้อมูลได้ดี
ภาษา XML (Extensible Markup Language) เป็นภาษาที่ใช้การนำเสนอข้อมูลในรูปแบบเว็บเพ็จที่มีโครงสร้าง โดยโครงสร้างของภาษา XML เป็นแฟ้มข้อความ (text file) ที่ใช้แท็ก (tag) ในการกำหนดชื่อและขนาดของข้อมูล ปัจจุบันองค์การอิสระที่ชื่อว่า World Wide Web Consortium (W3C) เป็นผู้ดูแลมาตรฐานของภาษานี้ เพื่อที่จะได้ใช้เป็นภาษาที่มีมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก

ยังมีภาษาคอมพิวเตอร์อีกมากมายที่มีผู้พัฒนาขึ้น บางภาษาก็ไม่มีการใช้งาน หรือมีการใช้งานน้อยมาก เช่น เช่น ภาษาโคบอล ภาษาฟอร์แทรน เป็นต้น
และมีภาษาคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการจัดการฐานข้อมูลโดยตรง เช่น ภาษาดีเบส ภาษาฟอกซ์โปร ภาษาคลิปเปอร์ เป็นต้น


กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้
1.ให้นักเรียนค้นหาข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต โดยให้หาความหมายคำว่า "Open Source" และให้บอกซอฟแวร์โอเพนซอร์ช ที่รู้จักในปัจจุบันมา 3 ชนิด
ตอบ หมายถึง ประเภทของโปรแกรม ที่เปิดเผยคำสั่งที่ใช้สร้างโปรแกรมนั้นๆ โดยมีจุดมุ่งหมาย ให้คนอื่นๆ สามารถนำไปแก้ไขปรับปรุงเป็นของตัวเองได้ โดยไม่ ผิดกฎหมายลิขสิทธิ์ เป็นประเภทหนึ่งของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สร้างจาก ภาษาคอมพิวเตอร์ต่างๆ เพื่อใช้งานตามวัตถุประสงค์นั้นๆ
2.ให้นักเรียนค้นหาซอฟต์ที่พัฒนาโดยคนไทย และให้บอกคุณสมบัติของซอฟต์แวร์ดังกล่าว
ตอบ +cfont Pro โปรแกรมแสดงรูปแบบของตัวอักษร
คุณสมบัติ
ง่ายต่อการใช้งาน แค่ติดตั้งโฑปรแกรม โปรยแกรมก็จะดึง FOUT ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราออกมาแสดงรูปแบบให้ดู

3.ให้นักเรียนค้นหาข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ที่ได้บังคับใช้ในปัจจุบัน
ตอบ ลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์
ความเป็นมาของกฎหมายลิขสิทธิ์

ในประเทศไทยการกำหนดลิขสิทธิ์ได้ปรากฏครั้งแรกราว พ.ศ.2445 ในรัชกาลที่ 5 เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม (Literacy) เรื่อง "วัชิรญาณวิเศษ" และได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายใหม่ในปี พ.ศ.2457 สมัยรัชกาลที่ 6 โดยยังคงเน้นงานด้านวรรณกรรม ต่อมาในปีพ.ศ.2474 สมัยรัชกาลที่ 7 ได้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีความสมบูรณ์ครอบคลุมงานอื่น ๆ อีกเช่น งานคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และผลงานของชาวต่างชาติแก่กฎหมายฉบับนี้มีบทลงโทษในสถานเบา ในปีพ.ศ.2521 ได้เพิ่มงานสื่อภาพ เสียง และวีดีโอให้ครอบคลุมของกฎหมาย จากนั้นอีก 15 ปี คือ พ.ศ.2534 รัฐบาลได้ประกาศขยายความครอบคลุมงานด้านวรรณกรรม ที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์หรือซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ การนำไปเผยแพร่และการให้เช่า งานด้านสื่อภาพ เสียง (Visual - Sound - Video) พระราชบัญญัติฉบับนี้ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบันโดยเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 21 มีนาคม 2538 ภายใต้ความรับผิดชอบดูแลของกรมลิขสิทธิ์ทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ (Department of Intellectual Property - DIP)

ลิขสิทธิ์ในซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ถูกกำหนดนิยามเป็นชุดของคำสั่ง หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้งานร่วมกับคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้หรือได้ผลลัพธ์ใด ๆ ออกมา ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ถือเป็นงานวรรณกรรม (Literacy) คล้าย ๆ กับหนังสือ บทประพันธ์ บทบรรยาย การละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกลงโทษโดยการปรับ 20,000 ถึง 200,000 บาท หากละเมิดกระทำไปเพื่อหวังผลกำไร - เป็นการค้า จะปรับ 100,000 ถึง 800,000 บาท หรือจำคุก 6 เดือนถึง 4 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ การป้องกันสิทธิ์จะครอบคลุมตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์งานนั้น ๆ บวก 50 ปี การขอลิขสิทธิ์จะต้องจัดเตรียมหนังสือมอบอำนาจทำการแทน (ถ้ามี) แบบฟอร์มคำร้องขอจำนวน 3 ชุด ชุดสิ่งประดิษฐ์ 2 ชุดหรือภาพถ่าย (ในกรณีมิอาจนำสิ่งของ - ผลงานมายื่นเสนอได้)
ข้อยกเว้นเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ด้านคอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์

ผู้ละเมิดจะไม่มีความผิดหาก

- มิได้มีเจตนาเพื่อการค้าหรือแสวงหากำไร

- มิได้ล่วงล้ำสร้างความเสียหายที่รุนแรงใด ๆ ต่อเจ้าของลิขสิทธิ์

การบังคับใช้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์จะครอบคลุมถึงคอมพิวเตอร์จากต่างประเทศ ดังนี้

- ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์มีสัญชาติหรือเป็นพลเมืองของประเทศที่เป็นสมาชิกของกลุ่ม ความตกลงกรุงเบริน (Berne Convention for Protection of Literacy and Artistic Works) เช่น USA, UK, JAPAN

- งานนั้นได้จดสิทธิบัตรไว้ในประเทศที่เป็นสมาชิกของ Berne หรือ TRIPs

(องค์กรต่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกอยู่ เช่น United Nations - UN, WHO - World Health Organization) เป็นต้น


4.ให้นักเรียนเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่สถานศึกษาต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ของซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งนักเรียนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยอย่างไร
ตอบ เห็นด้วย เพราะ เกิดจากความคิดของคน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น